เมนู

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์] 5.มหาวรรค 2.ฐานสูตร

หมุนเวียนไปตามโลกธรรม 8’ บุคคลนั้นประสบความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์
หรือความเสื่อมเพราะโรค ย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ ร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ ถึง
ความเลอะเลือน
ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ประสบความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือ
ความเสื่อมเพราะโรค ย่อมพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า ‘โลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนี้เอง
การได้อัตภาพนี้เป็นอย่างนั้นในโลกสันนิวาสตามความเป็นจริง ในการได้อัตภาพ
ตามความเป็นจริง โลกธรรม 8 คือ (1) ได้ลาภ (2) เสื่อมลาภ (3) ได้ยศ
(4) เสื่อมยศ (5) นินทา (6) สรรเสริญ (7) สุข (8) ทุกข์ หมุนเวียนไปตามโลก
และโลกก็หมุนเวียนไปตามโลกธรรม 8’ บุคคลนั้นประสบความเสื่อมญาติ ความ
เสื่อมโภคทรัพย์ หรือความเสื่อมเพราะโรค ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร
ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความเลอะเลือน
ข้อที่เรากล่าวว่า ‘กำลังพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย และกำลังนั้นแลพึงรู้ได้
โดยใช้เวลานาน ไม่ใช่นิดหน่อย ผู้มนสิการจึงรู้ได้ ผู้ไม่มนสิการหารู้ได้ไม่
ผู้มีปัญญาจึงรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามหารู้ได้ไม่‘ เรากล่าวเพราะอาศัยเหตุนี้
เรากล่าวไว้เช่นนี้แลว่า ‘ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา และปัญญานั้นแล
พึงรู้ได้โดยใช้เวลานาน ไม่ใช่นิดหน่อย ผู้มนสิการจึงรู้ได้ ผู้ไม่มนสิการหารู้
ได้ไม่ ผู้มีปัญญาจึงรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามหารู้ได้ไม่‘ เพราะอาศัยเหตุอะไร เรา
จึงกล่าวไว้เช่นนั้น
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เมื่อสนทนากัน จึงรู้อย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้นี้มีการ
แสวงหาปัญหา1อย่างไร เตรียมปัญหา2อย่างไร และถามปัญหาอย่างไร ท่านผู้นี้
มีปัญญาทราม ไม่ใช่มีปัญญา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านผู้นี้ไม่อ้างบทที่มี
ความหมาย ลึกซึ้ง สงบ ประณีต ที่สามัญชนคาดไม่ถึง ละเอียด อันบัณฑิตพึงรู้ได้
ท่านผู้นี้กล่าวธรรมอันใด ก็ไม่สามารถจะบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [4.จตุตถปัณณาสก์] 5.มหาวรรค 2.ฐานสูตร

จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นทั้งโดยย่อหรือโดยพิสดาร ท่านผู้นี้มี
ปัญญาทราม ไม่ใช่มีปัญญา’
บุคคลเมื่อสนทนากัน จึงรู้อย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้นี้มีการแสวงหาปัญหาอย่างไร
ฯลฯ ท่านผู้นี้มีปัญญาทราม ไม่ใช่มีปัญญา’ เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีตาดียืนอยู่
ริมฝั่งห้วงน้ำ พึงเห็นปลาตัวเล็ก ๆ ผุดอยู่ เขาพึงทราบอย่างนี้ว่า ‘ปลาตัวนี้มี
กิริยาผุดเป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นเพียงไหน และมีความเร็วเพียงไร ปลานี้ตัวเล็ก
ไม่ใช่ตัวไหญ่’ ฉะนั้น
ส่วนบุคคลในโลกนี้เมื่อสนทนากัน จึงรู้อย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้นี้มีการแสวงหา
ปัญหาอย่างไร เตรียมปัญหาอย่างไร และถามปัญหาอย่างไร ท่านผู้นี้มีปัญญา
ไม่ใช่มีปัญญาทราม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านผู้นี้ อ้างบทที่มีความหมาย
ลึกซึ้ง สงบ ประณีต สามัญชนคาดไม่ถึง ละเอียด บัณฑิตพึงรู้ได้ และท่านผู้นี้
กล่าวธรรมใด ก็สามารถที่จะบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก
ทำให้ง่ายซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นทั้งโดยย่อหรือโดยพิสดาร ท่านผู้นี้มีปัญญา ไม่
ใช่มีปัญญาทราม”
บุคคลเมื่อสนทนากัน จึงรู้อย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้นี้แสวงหาปัญหาอย่างไร ฯลฯ
ท่านผู้นี้มีปัญญา ไม่ใช่มีปัญญาทราม’ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ริมฝั่ง
ห้วงน้ำ พึงเห็นปลาตัวใหญ่ผุดอยู่ เขาพึงทราบอย่างนี้ว่า ‘ปลาตัวนี้มีกิริยาผุด
เป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นเพียงไหน และมีความเร็วเพียงไร ปลานี้ตัวใหญ่ ไม่ใช่
ตัวเล็กฉะนั้น
ข้อที่เรากล่าวว่า “ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา และปัญญานั้นแลพึงรู้
ได้โดยใช้เวลานาน ไม่ใช่นิดหน่อย ผู้มนสิการจึงรู้ได้ ผู้ไม่มนสิการหารู้ได้ไม่
ผู้มีปัญญาจึงรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามหารู้ได้ไม่‘ เรากล่าวเพราะอาศัยเหตุนี้
ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ 4 ประการนี้แลอันบุคคลพึงรู้ได้ด้วยฐานะ 4 ประการนี้”

ฐานสูตรที่ 2 จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 21 หน้า :282 }